
กฎหมายแรงงาน
แสดงความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน แรงงานสัมพันธ์และการประกันสังคม

English for Study Skills Development

การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม
การพัฒนาคุณภาพชีวิต
การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม
หน่วยที่ 1 การสร้างแนวความคิดและเจตคติด้วยตนเอง
ปรัชญา (Philosophy)
1.นิยามความหมายตามรูปศัพท์
ปฺร แปลว่า ประเสริฐ สูงไกล
ชฺญา แปลว่า ความรู้
ปรัชญา หมายความว่า ความรู้อันเปริฐ
Philosophy มาจากรากศัพท์กรีกโบราณ 2 คำ
Philo แปลว่า ความรัก หรือผู้รัก
Sophia แปลว่า ความรู้ ความปราดเปรื่อง
*เมื่อนำมารวมกัน แปลว่า ความรักในความรู้ หรือ Love of wisdom แต่เมื่อเปรียบเทียบความหมายของภาษาอังกฤษแล้วจะเห็นว่าไม่เหมือนกันแต่ให้เข้าใจว่าเป็นเพียงการกำหนดใช้เพื่อสื่อความหมายให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน
2. นิยามความหมายปรัชญาตามการใช้ มี 2 ลักษณะคือ
1. ความหมายแรกปรัชญา คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียนกันในสถาบันอุดมศึกษา มีขอบเขตเนื้อหาแบ่งออกเป็น 4 แขนง คือ ภววิทยา ญาณวิทยา คูณวิทยา และ ตรรกวิทยา
2. ความหมายที่สอง ปรัชญา หมายถึง แนวคิด คติ ความเชื่อ หรือ ข้อคิด ปรัชญาในความหมายนี้อาศัยรากฐานแนวความคิดมาจากคำสุภาษิต และคำพังเพย เช่น เป็นคนดีไม่ได้ก็ตายเสียดีกว่า น้ำมันพอหาได้แต่น้ำใจสิหายาก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
ปรัชญาในการดำรงชีวิตของบุคคล
- จำเป็นต้องมีหลักยึดถือปฏิบัติ
- เพราะมนุษย์มีสมอง สามารถรู้ คิด และพัฒนา
- รู้จักสังเกตจากธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว
- มีการศึกษา เรียนรู้และถ่ายทอดสืบต่อกันมา
* นั้นก็คือ ปรัชญาในการดำรงชีวิตของบุคคล
*และยังต้องอาศัย
- แนวความคิดที่ได้เป็นลักษณะของลัทธิทางปรัชญา
- เกิดการเรียนรู้ และทำความเข้าใจถึงความสำคัญ
- ทำให้มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตจนยึดเป็นหลักปฏิบัติ
ความหมายของปรัชญา
- ปรัชญา ตรงกับภาษาอังกฤษ Philosophy
- ปรัชญามาจากภาษาสันสกฤต ประกอบด้วยรากศัพท์ 2 คำ คือ ปฺร กับ ชฺญา
- ปฺร แปลว่า ประเสริฐ ชฺญา แปลว่า ความรู้ รวมกันแปลว่า ความรู้อันประเสริฐ
- ส่วนคำว่า Philosophy มาจากภาษากรีกว่า Philosophia มีรากศัพท์มาจากคำ 2 คำ คือ
- Philo แปลว่า ความสนใจ ความสงสัย ความอยาก Sophia แปลว่า ความรู้
รวมกันเป็น ความอยากในความรู้
- นักปราชญ์บางคนนิยามคำว่า ปรัชญา หมายถึง หลักแห่งความรู้และความจริงอันสูงสุด อันเป็นอมตะ
- บางกลุ่มนิยามว่า ความรู้ที่สากลและจำเป็น
- เพลโต (Plato) กล่าวว่า เป็นการศึกษาหาความรู้สิ่งที่เป็นนิรันดรและธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งนั้น
- อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า ปรัชญาเป็นศาสตร์ที่ค้นคว้าหาความแท้จริงของสิ่งที่มีอยู่โดยตนเอง
- คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า ปรัชญาคือสิ่งที่ว่าด้วยความรู้และการวิเคราะห์วิจารณ์หรือการตรวจสอบความรู้
- เจมส์ (William James) กล่าวว่า ปรัชญาคือหลักการที่ใช้อธิบายถึงสิ่งทั้งปวงโดยไม่มีการยกเว้น
- คองท์ (August Conte) กล่าวว่า ปรัชญา คือศาสตร์แห่งศาสตร์ทั้งปวง
สรุป
- ปรัชญา คือ หลักแห่งความรู้และความจริง หลักแห่งการแสวงหาความรู้ความจริง และหลักแห่งการค้นคว้าหาเหตุผล ความแท้จริงของสรรพสิ่งในโลก ครอบคลุมศาสตร์ทั้งปวง ปรัชญาจึงเป็นความรู้ที่สากลและจำเป็น กล่าวคือใช้ได้กับทุกวิชา และทุกวิชาต้องมีหลักปรัชญา
- Philosophy = Love of wisdom / Love of knowledge
(ความรักในความรู้ รักในปัญญา)
ศาสนา (Religion)
ศาสนา = คำสั่งสอน หมายถึง หลักคำสอนหรือหลักปฏิบัติที่ผู้เป็นศาสดาได้ประกาศสั่งสอนแก่ศาสนิกชน
1. ศาสนาแบบเทวนิยม (Theism) = ศาสนาที่เชื่อถือในพระเจ้า เช่น
- ศาสนาพราหมณ์ฮินดู
- ศาสนาอิสลาม
- ศาสนาคริสต์
2. ศาสนาแบบอเทวนิยม (Atheism)
= ศาสนาที่ปฏิเสธอำนาจพระเจ้า เช่น
- ศาสนาพุทธ
- ลัทธิเต๋า
- เชน
ความสำคัญของปรัชญาต่อการดำรงชีวิตของบุคคล
1. ปรัชญาสร้างโลกทัศน์ให้กับบุคคล
หมายถึง ปรัชญาช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ที่จะคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ทำให้มนุษย์เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาการต่าง ๆ เข้าใจระบบโลก
และชีวิต
2. ปรัชญาทำหน้าที่วิจารณ์
หมายถึง ปรัชญาทำหน้าที่วิพากษ์ และวิเคราะห์ วิจารณ์ภาษาและความคิดต่าง ๆ ให้กระจ่างชัดเจน และมีความหมายที่แน่นอนยิ่งขึ้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เช่น ความสวยงามที่แน่จริงคืออะไร
3. ปรัชญาแสวงหาคุณค่าให้กับชีวิต
หมายถึง การที่ปรัชญาสามารถช่วยในการพิจารณาเลือกสิ่งที่มีคุณค่าเหมาะสม ไม่หลงใหลคล้อยตามสิ่งใดโดยง่าย รู้จักคิดด้วยตัวของเราเอง ไม่ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ หรือหวังพึ่งพาคนอื่นให้ตัดสินใจแทนตน
อิทธิพลของปรัชญาต่อการดำรงชีวิตของบุคคล
เพราะการที่ปรัชญามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับศาสตร์ ความคิด หรือความเชื่ออื่น ๆ มีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปรัชญาช่วยศาสตร์ต่าง ๆในการหาสาเหตุ แต่เมื่อได้ข้อยุติจะกลายเป็นศาสตร์แขนงอื่น ๆไป
อิทธิพลของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่าง ๆ ได้แก่
1. ปรัชญากับความรู้ทางวิทยาศาสตร์
- มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ แสวงหาความถูกต้องแน่นอน ปรัชญายังมุ่งค้นคว้าหาสาเหตุและนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
- อาจกล่าวได้ว่าปรัชญาเป็นบิดาของวิทยาศาสตร์วิธีการทางปรัชญาจะช่วยเสนอแบบอย่างการสร้างทฤษฎีเอาไว้อย่างเป็นหลักเป็นฐานก่อนที่วิทยาศาสตร์จะเกิดขึ้น
2. ปรัชญากับความรู้ด้านศาสนา
- เนื่องจากศาสนาเป็นสิ่งที่ให้แนวคิดและแนวปฏิบัติ หรือหลักการที่ทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
- ปรัชญาและความรู้เป็นสิ่งที่แสวงหาความจริง ความดีงามให้กับชีวิตของบุคคลโดยยึดหลักเหตุผล และปรัชญาจะช่วยทำให้ศาสนามีความมั่นคงยิ่งขึ้น
3. ปรัชญากับรัฐศาสตร์
มีความสัมพันธ์กันในด้านการจัดการรูปแบบหรือการแสวงหาหลักปฏิบัติทางสังคม ซึ่งในแนวคิดทางสังคม การเมืองการปกครอง มักยึดหลักปรัชญาเป็นพื้นฐาน
ความสำคัญของศาสนา-ปรัชญา ต่อการดำรงชีวิต
ปรัชญาเมธีอินเดีย “การกิน การหลับนอน ความหวาดกลัวอันตราย การสืบพันธุ์ พฤติกรรมทั้ง 4 นี้มีเสมอกันทั้งมนุษย์และสัตว์ ธรรมะเท่านั้นทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ ไร้ธรรมะเสียแล้ว มนุษย์ก็เสมอกับสัตว์”
ธรรมะ = หลักการหรือแนวทางดำเนินชีวิตที่ดีงาม เกิดจากความคิดเชิงเหตุผล
แล้วธรรมะสำคัญสำหรับคุณไหม?
ความสำคัญของศาสนธรรม
1. การพัฒนาคุณภาพชีวิต สู่จุดมุ่งหมายสูงสุดในศาสนา
- ศาสนาแบบเทวนิยม - ได้เข้าถึงอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
- ศาสนาแบบอเทวนิยม - หลุดพ้นจากกิเลส (พุทธ = นิพพาน)
2. กำหนดกรอบความประพฤติ ให้สมาชิกอยู่ร่วมกัน
- ศีล ทาน ความเมตตาความรัก
3. เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมทางศาสนา
กับปรัชญาในการดำรงชีวิต
- ปรัชญาทำให้บุคคลเข้าใจสภาพของโลกโดยรวมเพื่อเพิ่มความสามารถในการดำรงชีวิตที่ดี
- ศาสนาพยายามแสวงหาแนวทางให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างสงบสุข
- ความเกี่ยวข้องระหว่างศาสนากับปรัชญาสามารถแยกออกได้ 2 ประเด็น คือ
1. เกี่ยวข้องกันทางการกำเนิด
- ศาสนากับปรัชญาเกิดขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกัน โดยศาสนาเกิดก่อนปรัชญา
- ข้อสังเกตคือ ขณะที่มนุษย์มีความต้องการแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาชีวิตด้วยการยึดมั่นในหลักศาสนา แนวคิดปรัชญาก็เกิดขึ้นตามมา และสามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในหลักการของความเชื่อต่างๆ
2. ความเกี่ยวข้องกันทางหน้าที่
- ศาสนามีหน้าที่ คือ การแก้ปัญหาชีวิตหรือการปฏิบัติเพื่อความสุขของวงจรชีวิต
- ปรัชญามีหน้าที่ คือ ขจัดความสงสัย เผยความจริงที่คลุมเครือให้เปิดเผย
- หลักธรรมทางศาสนาทุกศาสนามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เพราะเมื่อศาสนาได้กำหนดหลักธรรมคำสอนที่ถือได้ว่าเป็นปรัชญาในการดำรงชีวิต บุคคลในสังคมย่อมได้รับการปลูกฝังแนวคิด และการปฏิบัติจากหลักการทางศาสนา แล้วนำมาใช้เป็นหลักปรัชญาในการดำรงชีวิต ย่อมทำให้ตนเองและสังคมอยู่ร่วมกันอย่างก้าวหน้าและสงบสุข
ความสำคัญของปรัชญา
1. ช่วยสร้างโลกทัศน์ที่สมบูรณ์
(World Vision) รู้กว้าง รู้แบบองค์รวม
- นิทานตาบอดคลำช้าง
คนคลำถูกงาช้าง ก็บอกว่าคือ เขี้ยวยักษ์
คนคลำถูกขาช้าง ก็บอกว่าคือ เสา
คนคลำถูกหูช้าง ก็บอกว่าคือ ใบบัว
จนสรุปยังตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่คลำทั้งหมดคืออะไร
2. ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ
(Critical Mind) เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เช่น การพิจารณาความสวยงามที่แท้จริงมีคุณค่าเป็นอย่างไร ความดีงามในฐานะนักศึกษาเป็นอย่างไร
3. ช่วยให้มีหลักในการประเมินค่า (Value Judgment) การแสวงหาคุณค่าให้กับชีวิต
- ปรัชญาสุขนิยม แสวงหาความสุขภายนอก
- ปรัชญาศานตินิยม แสวงหาความสุขจากภายใน
ตัวอย่างหลักธรรม / ปรัชญา / คติ / คำคม
- ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
- จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ จะสูงจะต่ำอยู่ที่ทำตัว
- ความสุขที่ยาวนาน
จะรอนรานความเป็นคน
ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน
- ก้าวแรกที่พลาดพลั้ง คือ ก้าวหลังที่มั่นใจ
ก้าวสองที่พลาดไป คือ ก้าวใหม่ที่มั่นคง
- ตราบใดยังมีความหวัง ตราบนั้นยังมีหนทางเสมอ
หลักธรรมพื้นฐานในการดำรงชีวิต
หลักธรรมสำคัญในการดำรงชีวิต
ธรรม มีความหมาย 3 ระดับ
1. สัจธรรม = หลักความจริงที่มีลักษณะสากล / กฎธรรมชาติ
เช่น อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ไตรลักษณ์ (ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) ฯลฯ
2. จริยธรรม = หลักการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ถูกต้องเหมาะสม
3. วัฒนธรรม = เป็นกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนในการดำเนิน
ชีวิตที่สังคมสร้างขึ้น
หลักปรัชญาในการดำรงชีวิตที่ควรยึดถือและปฏิบัติ
หลักศาสนาหรือหลักปรัชญาในการดำรงชีวิตที่ควรยึดถือและปฏิบัติ ควรต้องมีความเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของชีวิต โดยไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเกิดทุกข์
มนุษย์จึงควรแสวงหาสาระของชีวิต
ตามหลักศาสนา ต่อไปนี้
1. ปรัชญาการดำรงชีวิตตามหลักธรรมของศาสนาพุทธ
พุทธศาสนากำหนดหลักการที่เป็นคำสอนที่สำคัญ คือ โอวาทปาติโมกข์ อันประกอบด้วย การไม่ทำชั่ว (ศีล) การบำเพ็ญความดี (สมาธิ) และการทำจิตใจให้ผ่องใส (ปัญญา)
คำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ คือ อริยสัจสี่ อันประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ศาสนาคริสต์ : ศาสนาแห่งความรัก
พระเจ้า = พระยะโฮวา
พระศาสดา = พระเยซู
คัมภีร์ = ไบเบิล
2. ปรัชญาในการดำรงชีวิตตามหลักธรรมของศาสนาคริสต์
เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม ที่เน้นการเชื่อถือในพระเจ้า สอนให้มนุษย์ปฏิบัติตามหลักบัญญัติ 10 ประการ คือ
1. อย่ามีพระเจ้าอื่นใดอีก
2. อย่านับถือรูปบูชาใดๆ
3. อย่าเอ่ยพระนามพระเจ้าโดยไม่เคารพ
4. ทำงานใน 6 วัน วันที่ 7 ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ให้หยุดทำงานทั้งปวง
5. จงนับถือบิดามารดาของตน
6. อย่าฆ่ามนุษย์
7. อย่าละล่วงประเวณีผัวเมียเขา
8. อย่าลักทรัพย์
9. อย่าเป็นพยานเท็จ
10. อย่าโลภสิ่งใดๆที่เป็นของเพื่อนบ้าน
จะเห็นว่าเป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์เป็นผู้มีสติ มีหลักยึดถือที่แน่นอน และเป็นผู้ดำรงชีวิตที่ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นและสังคม
พระวจนะ กฎแห่งความรัก
“ ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา ฟันแทนฟัน แต่เราขอบอกท่านว่า จงอย่าโต้ตอบคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ”
“ จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ”
ศาสนาอิสลาม : ศาสนาแห่งสันติ
พระเจ้า = พระอัลเลาะห์
พระศาสดา = นะบีมูฮำหมัด
คัมภีร์ = อัลกุราอาน
3. ปรัชญาในการดำรงชีวิตตามหลักธรรมของศาสนาอิสลาม
- เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวและเชื่อถือในเรื่องวันสิ้นโลก วันพิพากษา
- คำสอนที่สำคัญ คือ จงทำความดีเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี จงละสิ่งชั่วเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งชั่ว
- คำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานระบุหลักการ 3 ประการ ได้แก่
1. หลักศรัทธาหรือความเชื่อในศาสนา (อีมาน)
มีหลักการ 6 ประการ คือ
- ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
- ศรัทธาต่อเทวทูตของอัลลอฮ์
- ศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอาน
- ศรัทธาต่อศาสนทูต
- ศรัทธาต่อวันสิ้นโลกหรือวันพิพากษา
- ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์
2. หลักปฏิบัติหรือหน้าที่ในศาสนา (อิบาดะห์)
มี 5 ประการ คือ
- การปฏิญาณตน(ยอมรับและเชื่อมั่นต่อพระอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว)
- การละหมาด (การสวดนมัสการพระอัลลอฮ์วันละ 5 เวลา)
- การถือศีลอด (งดเว้นการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม เสพสังวาสตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดิน ปีละ 1 เดือน)
- การบริจาคซะกาด (การบริจาคช่วยคนยากจน 1 ใน 40 ของรายได้ในรอบปี)
- การประกอบพิธีฮัจญ์ (ไปประกอบศาสนกิจที่นครเมกกะให้ได้ ครั้งหนึ่งในชีวิต)
3. หลักคุณธรรมหรือหลักความดี (อิห์ซาน)
-คือ การกำหนดว่าสิ่งใดที่ควรปฏิบัติและสิ่งใดที่ต้องละ แยกเป็น 2 ลักษณะคือ การกระทำที่อนุญาต และการกระทำที่ต้องห้าม
เศรษฐกิจพอเพียงตามวิถีสังคมไทย
(Sufficiency
Economy for Thai society
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
วิสัยทัศน์ใหม่ประเทศไทย พ.ศ.2550-2555
(New
Vision of Thailand)
….To be the Green and Happiness Society
.....จะเป็นสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน
Green = Environment aspect
Happiness = Economic aspect and Social aspect
เน้นการพัฒนาที่สมดุลบนทุนเศรษฐกิจ ทุนสังคม และทุนสิ่งแวดล้อม
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(Sufficiency
Economy Philosophy)
• คือ แนวทางที่ประเทศไทยสมควรนำมาเป็นกรอบแนวคิดและแนวปฏิบัติ ในการพัฒนาชีวิต ครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจ สังคมในทุกภาคส่วน
• พระราชทานแนวทางมากว่า 30 ปีจากการดำเนินโครงการต่างๆอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่เน้นหนักหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 จึงเรียกว่า “เศรษฐกิจพอเพียง”
• พระราชทานให้เผยแพร่ใน พ.ศ. 2542
ในหลวงทรงเน้นย้ำถึงความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency economy) ซึ่งเป็นคำใหม่ของพระองค์ท่านอีกครั้งในปี พ.ศ. 2543
“หมายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช่ขี้เหนียว ทำอะไรด้วยความอะลุ้มอล่วยกัน ทำอะไรด้วยเหตุและผลจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง แล้วทุกคนจะมีความสุข
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2543)
เริ่มต้น: ง่ายๆจากแนวพระราชดำริสู่ความพอเพียง
คือ แนวคิดที่เน้นหนัก……
• ทางสายกลาง (Middle of the Road)
• ค่อยเป็นค่อยไป (Step by Step)
• ระเบิดจากข้างใน (Inside Out)
• ช้าๆแต่มั่นคง (Slow but Sure)
• เท่าไรก็พอดี (Just Enough)
• ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง - ทางสายกลาง -ความพอเพียง
1. วัตถุ 2.สังคม 3. สิ่งแวดล้อม 4. วัฒนธรรม
เป้าประสงค์
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งใน การพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
หลักความพอเพียง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายนอกและภายใน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 คุณลักษณะคือ
1. ความพอประมาณ
1.1 ความพอดี, ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
1.2 โดยไม่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น
2. ความมีเหตุมีผล
2.1 การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง
2.2 ต้องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล
2.3 โดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง : ตลอดจน
2.4 ผลที่คาดว่าจะเกิดจากการกระทำนั้นอย่างรอบคอบ
ระบบภูมิคุ้มกันตัว
(1) ด้านวัตถุ
(2) ด้านสังคม
(3) ด้านสิ่งแวดล้อม
(4) ด้านวัฒนธรรม
3. การมีภูมิคุ้มกันในตัว
3.1 เตรียมตัวให้พร้อมต่อการรองรับผลกระทบใดฯ
3.2 จากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่างฯ
3.3 ทั้งภายในและภายนอก
เนื้อหาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง:2 เงื่อนไข
• เงื่อนไขความรู้ (Knowledge) - รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ใช้เหตุผลวิทยาศาสตร์
-นำเอาวิชาการต่างฯมาประกอบกันอย่างเหมาะสม
-รอบด้านในการวางแผน
• เงื่อนไขคุณธรรม (Morality) - ซื่อสัตย์ สุจริต อดทน ความเพียร ไม่โลภเกินไป
-ตระหนักในคุณธรรม,ซื่อสัตย์,สุจริต
-และความพากเพียรในการดำเนินชีวิต
ทั่วๆไปของปุถุชนในวิถีเศรษฐกิจพอเพียง
ความพอประมาณ- คิด ทำ โดยไม่โลภจนเกินไป ไม่เกินตัว ไม่ตามกระแส จัดสรรเวลาและเงินให้พอดี
ความมีเหตุผล- หมั่นพิจารณาตนเองตามวัย ฐานะ และ
ศักยภาพที่มี ยึดมั่นคุณธรรมจริยธรรม
ความมีภูมิคุ้มกันตนเอง- ออกกำลังกาย ออมทรัพย์ สร้างทุน
สังคม ไม่ประมาท ไม่โง่เขลางมงาย หมั่นหาความรู้ใส่ตัวให้เท่า
ทันโลก3 ระดับเศรษฐกิจพอเพียงในปุถุชน...สอนให้จำ ทำให้ดู
อยู่ให้เห็น
ประเด็นถกเถียงเรื่อง “ไม่ใช่” ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
• พอเพียง เป็นเชิงพลวัตร สามารถเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม ไม่ใช่ แค่พอในเชิงสถิตย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย
• ประยุกต์ใช้กับทุกคน ทุกระดับ ทุกภาคส่วนไม่ใช่เฉพาะการเกษตร คนจน หรือ เศรษฐกิจฐานล่าง
• ไม่ใช่ การอดออม ประหยัดจนเกินควร ไม่ลงทุน และไม่เสี่ยงใดๆ แต่ขยายตัวอย่างมีสติ รอบคอบ ระมัดระวัง
• ไม่ใช่ ต้องถอยกลับเทคโนโลยีสู่วิถีธรรมชาติดั้งเดิม ต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ
• พฤติกรรมการบริโภค ไม่ใช่ จะใช้สิ่งของราคาแพงไม่ได้ แต่ต้องเหมาะสมกับฐานะ ไม่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น
• เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ การต่อต้านโลกภิวัฒน์ แต่เป็นการรู้เท่าทันและใช้ประโยชน์ด้วยความระมัดระวัง
• ความคาดหวังใน 25% ของพฤติกรรมของทุกคน ไม่ใช่ จากจำนวนคน หรือจำนวนพื้นที่ประเทศ
แนวทางการทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง
• เน้นหาข้าวหาปลาก่อนหาเงินหาทอง คือ
ทำมาหากิน ก่อน ทำมาค้าขาย
1.การทำไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสาน
เพื่อให้เกษตรกรพัฒนาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียง
2.การปลูกพืชผักสวนครัวลดค่าใช้จ่าย
3.การทำปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกและใช้วัสดุเหลือใช้เป็นปัจจัยการผลิต(ปุ๋ย)เพื่อลดค่าใช้จ่ายและบำรุงดิน
4.การเพาะเห็ดฟางจากวัสดุเหลือใช้ในไร่นา
5.การปลูกไม้ผลสวนหลังบ้าน
และไม้ใช้สอยในครัวเรือน
6.การปลูกพืชสมุนไพร ช่วยส่งเสริมสุขภาพอนามัย
7.การเลี้ยงปลาในร่องสวน ในนาข้าวและแหล่งน้ำ เพื่อเป็นอาหารโปรตีนและรายได้เสริม
8.การเลี้ยงไก่พื้นเมือง และไก่ไข่ ประมาณ 10-15 ตัวต่อครัวเรือนเพื่อเป็นอาหารในครัวเรือน โดยใช้เศษอาหาร รำ และปลายข้าวจากผลผลิตการทำนา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากการปลูกพืชไร่ เป็นต้น

ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจ
เรียนรู้วิธีการ หลักปฏิบัติและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารองค์กร การใช้ภาษาอังกฤษ